การถวายความเคารพต่อพระธาตุนั้น มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานพอๆ กับอายุของพระศาสนจักร หลักฐานอ้างอิงแรกสุดเกี่ยวกับพระธาตุนั้น ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล (พระธรรมเก่า)



โดยมีเขียนไว้ว่า “เมื่อเอลีชาสิ้นชีวิต เขาก็ถูกฝังไว้ ฝ่ายหมู่คนโมอับเคยปล้นแผ่นดินนั้นในฤดูแล้ง ครั้งหนึ่งเมื่อเขากำลังส่งศพคนหนึ่งไป นี่แน่ะ เขาเห็นโจรหมู่หนึ่ง เขาจึงโยนศพของชายคนนั้นลงไปในอุโมงค์ของเอลีชา พอศพชายคนนั้นแตะต้องกระดูกของเอลีชา เขาก็คืนชีวิต ลุกขึ้นยืน” (2พกศ.13.20-21)

 

ยังมีการอ้างอิงอีกหลายตอนในพระธรรมใหม่ ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความเคารพและให้เกียรติแก่ร่างของบรรดานักบุญ อาทิ เมื่อนักบุญยอห์น บัปติสต์ ถูกตัดศีรษะกลายเป็นมรณสักขี บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านได้นำศพของท่านไปเก็บรักษาไว้ในที่ที่ปลอดภัยเพื่อการเคารพสักการะ ทำนองเดียวกันในศตวรรษที่ 2 พระสังฆราชโปลีคาร์ปได้ถูกจับมัดติดกับหัวเสาและเผาทั้งเป็น บรรดาลูกศิษย์ของท่านได้รวบรวมกระดูกของท่าน และนำไปเก็บรักษาไว้ในหลุมฝังศพใต้ดิน ที่ซึ่งพวกเขามารวมกันเพื่อร่วมในพิธีมิสซา ในช่วงปีแห่งการเบียดเบียนศาสนา บรรดาคริสตชนจะเผาซากศพของบรรดามรณสักขีที่ในหลุมฝังศพใต้ดินแห่งโรมโบราณ ที่ซึ่งพวกเขามารวมตัวกันอย่างลับๆ เพื่อร่วมในพิธีมิสซา จากนั้นมาจึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาอย่างยาวนาน ที่จะมีการเก็บพระธาตุชิ้นเล็กๆ ที่พระแท่นของแต่ละวัด

พระธาตุยังเป็นการเตือนใจเราแต่ละคนถึงความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญ และความสำเร็จของงานการไถ่กู้ของพระเจ้าโดยผ่านทางบรรดานักบุญ พระธาตุดึงดูดเราแต่ละคนให้สวดภาวนาวอนขอนักบุญ และต่อองค์พระเจ้าให้โปรดประทานพระคุณให้เราสามารถดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับบรรดานักบุญเหล่านั้น

ที่มา : นิตยสารดอนบอสโก (กย.53)