บุคคลตัวอย่าง
ประวัติผู้ช่วยศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์
สำเร็จการศึกษาจากเซนต์คาเบรียล, อัสสัมชัญบางรัก, นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยม) นิติศาสตร์มหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และเนติบัณฑิตไทย LL.M.(Taxation) จากมหาวิทยาลัย Harvard ประเทศสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันรับราชการเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกรรมการนโยบายและแผน วิทยาลัยราชสุดา กรรมการของ
คณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ กรรมการในคณะกรรมการการศึกษาสำหรับคนพิการทุกประเภทแห่งชาติ รองประธานมูลนิธิส่งเสริมอาชีพ
คนตาบอด เลขานุการสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย กรรมการที่ปรึกษาสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และกรรมการที่ปรึกษาสมาคม
คนหูหนวกแห่งประเทศไทย
ผลงานดีเด่น สอบได้ที่ 1 ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้รับทุนภูมิพล เป็นคนพิการที่เป็นข้าราชการคนแรกของประเทศไทย
มีบทบาทสำคัญในการทำให้มีพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ แผนแม่บทการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแห่งชาติ ระเบียบข้อบังคับ
ของกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการที่เอื้อประโยชน์แก่คนพิการ และการก่อตั้งสมาคมคนตาบอดในต่างจังหวัด จนได้รับรางวัลคนพิการตัวอย่าง
จากสภาสังคมสงเคราะห์ฯ และรางวัลผู้ให้ความร่วมมือส่งเสริมและสนับสนุนงานสวัสดิการคนพิการจากคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ
ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2520 ในระหว่างที่คนไทยเคยชินกับการพบเห็นคนตาบอดขอทาน คนตาบอดเล่นดนตรีแลกกับเงิน คนตาบอดขายสลากกินแบ่งรัฐบาล
คนไทยก็ต้องตื่นเต้นและแปลกใจกับหัวข้อข่าวเกี่ยวกับการประสบความสำเร็จในชีวิตของคนตาบอดชื่อ นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่า คนตาบอดคว้าตำแหน่งที่ 1 ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนภูมิพลมีชัยเหนือนักศึกษาตาดีนับพัน
หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่า รับปริญญานิติศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมวันนี้ อาจารย์สอนหนังสือกฎหมายตาบอดคนแรกของประเทศไทย
และหนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่า ข้าราชการตาบอดคนแรกของประเทศไทย พิชิตตำแหน่งที่ 1 นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ปีนี้
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมีบทสัมภาษณ์ที่นักข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรในวันนี้
นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ตอบนักข่าวว่า ดีใจมากครับ และดีใจเป็นที่สุดเมื่อผมได้ยินสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงตรัสชมด้วยน้ำเสียง
ที่พอพระทัยอย่างยิ่งว่า เก่งมาก เก่งมาก เก่งจริงๆ และรู้จากเพื่อนฝูงว่า ในเวลาที่ผมได้รับพระราชทานปริญญาบัตรนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงยิ้มอย่างพอพระทัย ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วพระองค์ท่านจะไม่ทรงยิ้มในเวลาที่พระองค์ท่านพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษาทั่ว ๆ ไป แสดงว่า
ผมได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระองค์ท่านเป็นพิเศษ ต้องถือว่าผม มีบุญจริงๆ อันที่จริงแล้วพระองค์ท่านทั้งสองได้ทรงให้ความช่วยเหลือแก่
คนตาบอดเป็นอย่างดีและอย่างมากจึงมีประเพณีบริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ท่านทั้งสอง
รู้สึกอย่างไรที่สอบได้เป็นที่ 1 ของคณะนิติฯ และได้เป็นอาจารย์สอนหนังสือกฎหมายที่ตาบอดคนแรกของประเทศไทย
นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ผมรู้สึกดีใจมากครับ และก่อนอื่นผมต้องขอบคุณ ดร.ป๋วย อึ้งภาภรณ์ และ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ ที่ได้เปิดโอกาส
ให้ผมได้มาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมจะดีใจยิ่งขึ้นและดีใจมากเป็นที่สุด ถ้าบุคคลที่เกี่ยวข้องและสังคมจะเปิดโอกาส
ให้แก่คนตาบอดคนอื่นได้รับการศึกษาและมีงานดี ๆ ทำ เหมือนอย่างที่ผมได้รับ ผมเชื่อว่าเมื่อใดก็ตามที่คนตาบอดทั่วไปได้รับโอกาสเช่นนั้นคนไทยก็จะได้พบเห็น
คนตาบอดจำนวนมากที่ประสบผลสำเร็จทางการศึกษาเหมือนอย่างผมหรือมากกว่าผม และคนไทยอาจได้พบเห็นคนตาบอดทำงานดี ๆ ที่คนทั่วไปไม่อาจคาดฝัน
ว่าคนตาบอดจะสามารถทำได้ คนตาบอดขอโอกาสครับ
ขออาจารย์ได้ช่วยให้คำแนะนำแก่คนพิการและคนที่หมดหวังในชีวิตว่าควรจะทำอย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จอย่างอาจารย์
นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ได้ให้คำแนะนำว่า ผมขอให้คำแนะนำเป็นข้อ ๆ ดังนี้ครับ
คำแนะนำของอาจารย์ เพื่อให้กำลังใจแก่คนพิการและคนที่หมดหวังในชีวิต
1. ให้นึกถึงคนที่ย่ำแย่กว่า ทุกเช้าตื่นขึ้นมาหรือก่อนนอนให้นึกถึงคนที่ย่ำแย่กว่าเราเสมอ อาจจะแย่กว่าเราในทางร่างกายหรือในทางทรัพย์สิน
คนที่นอนอยู่ใต้สะพาน การนึกถึงคนที่มีสภาพย่ำแย่กว่าจะทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนโชคดีมากคนหนึ่ง
2. ฝึกตั้งคำถามที่สร้างสรรค์ อย่าตั้งคำถามที่ทำลายตัวเอง ถามตัวเองว่าทำไมฉันจึงไม่ใช้สิ่งที่ฉันมีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอะไรที่ทำให้ฉันสนุกสนาน
ทำให้ฉันมีความสุข อะไรคือเป้าหมายในการประกอบอาชีพหรือชิวีตของฉัน การตั้งคำถามและหาคำตอบอย่างนี้จะทำให้สุขภาพจิตดี
3. ให้หาอะไรทำตลอดเวลาอย่าปล่อยให้มีเวลาว่าง การอ่านหนังสือที่สร้างสรรค์และการฝึกเขียนคำตอบของปัญหาที่สร้างสรรคเอาไว้อ่าน เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เพราะจะทำให้เรารู้จักใช้ปัญญาแทนการใช้อารมณ์ การแก้ปัญหาชีวิตด้วยการใช้ปัญญาเป็นทางออกที่ดีที่สุด
4. เคราะห์มักสร้างโอกาส มนุษย์มักลืมไปว่าเคราะห์มักสร้างโอกาส แต่มนุษย์ปล่อยให้อารมณ์ชนะปัญญา จึงปล่อยให้อารมณ์ร่วมมือกับเคราะห์ในการ
ทำร้ายตัวเอง
5. ความหวังมีอยู่เสมอกับทุกคน ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความหวัง และทำให้เราประสบผลสำเร็จในความหวังนั้น เมื่อเราสร้าง
ความหวังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งเราก็จะรู้เองว่าเป้าหมายชีวติที่แท้จริงคืออะไร
6. เงินและอำนาจเป็นเจ้านายที่เลวทีสุด แต่เป็นผู้รับใช้ที่ดีที่สุดเช่นกัน เพื่อไม่ให้เงินและอำนาจเป็นเจ้านายของเรา เราต้องฝึกฝนกินอยู่แบบง่ายๆ แต่ใน
ขณะเดียวกันก็ทำงานหนัก อดทน รู้จักจัดการกับสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
7. ต้องรู้จักให้ มนุษย์ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำอะไรต้องไม่ให้คนอื่นเดือดร้อน ให้อภัยและช่วยเหลือกันและการให้ต้องเป็นการให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน
ย้อนกลับ